"May Day วันกรรมกรสากล" โดย ภัควดี วีระภาสพงษ์
"May Day วันกรรมกรสากล"
ตีพิมพ์ครั้งแรกในจุลสารเสมอภาค ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - มิถุนายน 2551 โดย ภัควดี วีระภาสพงษ์
นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา การผลิตในระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่มีสภาพเปรียบเสมือน "โรงสีปิศาจ" ชนชั้นแรงงานถูกขูดรีดอย่างหนักเพื่อการสั่งสมทุนในระบบทุนนิยม คนงานต้องทำงานหนักถึงวันละ 16-18 ชั่วโมง โดยไม่มีวันหยุด ไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยหรือสวัสดิการใด ๆ ทั้งสิ้น
ความเคลื่อนไหวของขบวนการแรงงานเพื่อปลดแอกตัวเองเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ นับครั้งไม่ถ้วน การต่อสู้เรียกร้องให้ลดชั่วโมงทำงานปะทุขึ้นทั้งในยุโรป ละตินอเมริกา สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ใน ค.ศ. 1840 ที่อาณานิคมเวลลิงตันในนิวซีแลนด์ ช่างไม้ชื่อ ซามูเอล พาร์เนลล์ ยืนกรานไม่ยอมทำงานมากกว่าวันละ 8 ชั่วโมง พาร์เนลล์เรียกร้องให้ช่างฝีมือคนอื่น ๆ สนับสนุนเวลาทำงานแปดชั่วโมงนี้ และในเดือนตุลาคมของปีนั้น การประชุมของแรงงานในอาณานิคมเวลลิงตันก็ลงมติสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว
ใน ค.ศ. 1872 ที่ประเทศแคนาดา ช่างพิมพ์คนหนึ่งในเมืองโตรอนโตลุกขึ้นเรียกร้องเวลาทำงาน 54 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในสมัยนั้น ความเคลื่อนไหวของแรงงานเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย กระนั้นก็ไม่ทำให้กรรมกรกว่า 10,000 คน ออกมาเดินขบวนประท้วง จนกดดันให้เซอร์จอห์น แมคโดนัลด์ นายกรัฐมนตรีของแคนาดาในสมัยนั้น ต้องยอมยกเลิกกฎหมายต่อต้านสหภาพแรงงานในที่สุด
ช่วง ค.ศ. 1882 มีการนัดหยุดงานของคนงานรถไฟในกรุงโตเกียว คนงานไร่ในประเทศรัสเซีย และคนงานเหมืองแร่ในประเทศฝรั่งเศส ตลอดช่วง ค.ศ. 1884-1886 มีการนัดหยุดงานในสหรัฐอเมริกาหลายพันครั้ง และมีคนงานเข้าร่วมชุมนุมเดินขบวนนับแสนคน ถึงแม้จะต้องเผชิญการปราบปรามอย่างรุนแรงจากรัฐและฝ่ายนายทุน แต่ขบวนการกรรมกรก็มิได้ย่อท้อ
จุดกำเนิดวันกรรมกรสากล
เหตุการณ์ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจและต้นกำเนิดของวันกรรมกรสากลก็คือเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า "การจลาจลที่เฮย์มาร์เก็ต" เหตุครั้งนี้สืบเนื่องมาจากสหพันธ์แรงงานในสหรัฐอเมริกาและแคนาดากำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1886 เป็นวันนัดหยุดงานครั้งใหญ่ และจัดการชุมนุมเดินขบวนเพื่อเรียกร้อง "ระบบสามแปด" คือ ทำงาน 8 ชั่วโมง พักผ่อน 8ชั่วโมง และศึกษาหาความรู้ 8 ชั่วโมง
การเดินขบวนของแรงงานเกิดขึ้นทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา ประมาณกันว่ามีผู้ออกมาชุมนุมประท้วงราว 10,000 คน ในนิวยอร์ก 11,000 คนในดีทรอยต์ อีก 10,000 คนในเมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน แต่ศูนย์กลางการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่เมืองชิคาโก ซึ่งมีกรรมกรออกมาประท้วงถึง 40,000 คน และมีกรรมกรโรงงานแปรรูปไม้อีก 10,000 คนที่จัดเดินขบวนต่างหาก การชุมนุมประท้วงครั้งนี้น่าจะมีแรงงานชาวอเมริกันเข้าร่วมรวมทั้งหมด 300,000 - 500,000 คน
การประท้วงยืดเยื้อมาอีกสองสามวัน วันที่ 3 พฤษภาคม มีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตรวจชิคาโกกับขบวนการแรงงาน ทำให้กรรมกรเสียชีวิต 4 รายและบาดเจ็บอีกหลายราย
กลุ่มผู้นำแรงงานแนวอนาธิปไตยนัดชุมนุมในวันถัดมาที่จัตุรัสเฮย์มาร์เก็ต ซึ่งในสมัยนั้นเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญของชิคาโก การชุมนุมที่เริ่มขึ้นท่ามกลางสายฝนปรอย ๆ ในวันที่ 4 พฤษภาคมดำเนินไปอย่างสงบ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจวางกำลังไว้เป็นจำนวนมาก ขณะที่ผู้ปราศรัยคนสุดท้ายกำลังกล่าวปิดการชุมนุมในเวลาราวสี่ทุ่มครึ่ง ตำรวจก็สั่งให้ผู้ชุมนุมสลายตัว แต่ทันใดนั้นเอง โดยไม่มีใครคาดคิด มีคนโยนระเบิดลูกหนึ่งใส่แถวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ตำรวจนายหนึ่งเสียชีวิตทันที ตำรวจจึงเปิดฉากยิง มีคนงานยิงตอบโต้บ้าง เหตุจลาจลครั้งนี้กินเวลาน้อยกว่าห้านาทีด้วยซ้ำ
ถึงแม้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายได้รับบาดเจ็บจากระเบิด แต่ตำรวจอีกหลายคนที่เสียชีวิตนั้นเป็นเพราะการยิงกันเองในหมู่ตำรวจด้วยความผิดพลาดเนื่องจากความมืด การจลาจลครั้งนี้ทำให้ตำรวจ 7 นายและกรรมกร 4 รายเสียชีวิต กรรมกรที่บาดเจ็บมีเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีตัวเลขแน่นอน จำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงของฝ่ายกรรมกรอาจสูงกว่านี้ก็เป็นได้
ล่วงมาถึง ค.ศ. 1889 ในการประชุมสมัชชาสังคมนิยมของสภาสากลที่สอง ซึ่งมีตัวแทนจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมประชุมถึง 20 ประเทศ มีมติให้ชุมนุมเดินขบวนเรียกร้องเพื่อให้มีการลดชั่วโมงทำงานลงอีกครั้งในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1890และเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุจลาจลที่เฮย์มาร์เก็ต การเดินขบวนครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง จนทำให้ชนชั้นกรรมาชีพทั่วโลกพร้อมใจกันกำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปีเป็น "วันกรรมกรสากล"
การแทรกแซงของภาครัฐ
วันกรรมกรสากลจึงกลายเป็นวันแสดงพลังของชนชั้นแรงงานทั่วโลก เป็นวันนัดพบของทั้งนักสังคมนิยม คอมมิวนิสต์และอนาธิปไตย การเดินขบวนของกรรมกรมีการปะทะกับฝ่ายรัฐหลายครั้งในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิเช่น ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ค.ศ. 1929 ขบวนของกรรมกรถูกตำรวจบุกเข้าปราบปราม จนมีผู้ร่วมชุมนุมและคนนอกถูกลูกหลงเสียชีวิตถึง 32 ราย และมีอีกอย่างน้อย 80 รายที่บาดเจ็บสาหัส ตำรวจเมืองเบอร์ลินยิงกระสุนออกไปถึง 11,000 นัด โศกนาฏกรรมครั้งนี้มีชื่อเรียกขานว่า Blutmai หรือ "พฤษภาเลือด"
การสำแดงพลังของชนชั้นกรรมาชีพทำให้ภาครัฐหวาดหวั่น ด้วยเหตุนี้ รัฐในหลาย ๆ ประเทศจึงพยายามเข้ามาแทรกแซงความหมายของวันกรรมกรสากล อาทิเช่น ในสหรัฐอเมริกา ทั้ง ๆ ที่ประเทศนี้เป็นต้นกำเนิดของวันกรรมกรสากล แต่"วันกรรมกร" อย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ กลับกำหนดไว้ที่วันจันทร์แรกของเดือนกันยายน การกำหนด "วันกรรมกร"เช่นนี้เป็นการร่วมมือกันของสหภาพแรงงานที่เข้าข้างรัฐกับประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ถึงแม้จะถูกสหภาพแรงงานและกรรมกรอเมริกันจำนวนมากคัดค้านก็ตาม อย่างไรก็ดี ใน ค.ศ. 2006 แรงงานอพยพจากละตินอเมริกาเลือกวันที่ 1 พฤษภาคมเป็นวันนัดหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ เพื่อสำแดงให้รัฐบาลสหรัฐฯ รับรู้ถึงความสำคัญของแรงงานอพยพ
วันกรรมกรสากลในประเทศไทย
ในประเทศไทย มีการจัดงานวันกรรมกรสากลอย่างเปิดเผยครั้งแรกในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ที่สนามหน้าสำนักงานสมาคมไตรจักร์ (สามล้อ) พระราชวังอุทยานสราญรมย์ จัดโดยสมาคมกรรมกรสงเคราะห์กรุงเทพร่วมกับสมาคมไตรจักร์ มีผู้เข้าร่วมประมาณ 3 พันคน
ปีต่อมา การชุมนุมวันกรรมกรสากล พ.ศ. 2490 มีขึ้นที่ท้องสนามหลวง ภายใต้คำขวัญ "กรรมกรทั้งหลายจงสามัคคีกัน" ถือเป็นการแสดงพลังของชนชั้นกรรมาชีพไทยครั้งใหญ่ที่สุด เพื่อเฉลิมฉลองการจัดตั้งสหพันธ์กรรมกรระดับชาติแห่งแรกใน ประเทศไทย คือ "สมาคมสหอาชีวะกรรมกรแห่งประเทศไทย" วันกรรมกรสากลปีนั้นมีผู้เข้าร่วมกว่าแสนคน แต่แล้วเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ก็เกิดการรัฐประหารยึดอำนาจ รัฐบาลเผด็จการได้ห้ามจัดงานวันกรรมกรสากลอีก
กระทั่งในปี พ.ศ. 2499 กรรมกรในประเทศไทยรวมตัวกันเป็น "กรรมกร 16 หน่วย" มีเป้าหมายเคลื่อนไหวให้รัฐบาลเร่งออกกฎหมายรับรองสิทธิด้านต่าง ๆ รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลถือเอาวันกรรมการสากลเป็นวันกรรมกรแห่งประเทศไทย ให้กรรมกรเฉลิมฉลองในวันนี้ได้ รวมทั้งให้กรรมกรทั่วประเทศหยุดงานโดยไม่ถูกตัดค่าแรง แต่ผลการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลเผด็จการของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทำให้กรรมกรจำต้องยอมรับเงื่อนไขให้เปลี่ยนชื่อจาก "วันกรรมกรสากล" เป็น "วันแรงงานแห่งชาติ"
จากจุดเริ่มต้นในครั้งนั้น ทำให้วันกรรมกรสากลของไทยถูกแทรกแซงจากรัฐบาลมาโดยตลอด จนกระทั่งปัจจุบัน เนื้อหา และรูปแบบของการจัดงานมักถูกควบคุมโดยรัฐบาลและบริษัทเอกชนที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณ ซึ่งเน้นไปในเรื่องกิจกรรมบันเทิงสนุกสนาน ไม่มีการสะท้อนปัญหาและวัฒนธรรมของผู้ใช้แรงงาน การยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลในวันที่ 1พฤษภาคม ก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวติดตามอย่างจริงจัง ทำให้ข้อเรียกร้องของผู้ใช้แรงงานกลายเป็นเพียงพิธีการประกอบเท่านั้น อีกทั้งในบางปียังให้นายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานเพื่อให้โอวาทอบรมด้วย
ก้าวให้พ้นประเด็นค่าแรงและชั่วโมงการทำงาน
ผู้ได้รับอานิสงส์จากการต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพ ส่วนใหญ่กลับเป็นมนุษย์เงินเดือนชนชั้นกลางทั้งหลาย ไม่ว่าชั่วโมงการทำงาน 8 ชั่วโมง สวัสดิการต่าง ๆ ทั้งที่ได้จากภาครัฐและเอกชน รวมทั้งศักดิ์ศรีของการเป็น "คนทำงาน" ล้วนแล้วแต่เป็นผลพวงมาจากการต่อสู้อย่างอดทนของแรงงานทั้งสิ้น ทว่าชนชั้นแรงงานเองกลับไม่ได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ยิ่งในยุคปัจจุบันที่ระบบทุนนิยมขับเคลื่อนด้วยแรงงานเหมาช่วงและแรงงานนอกระบบ ชนชั้นแรงงานก็ยิ่งตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นทุกที
กระนั้นก็ตาม ชนชั้นแรงงานในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกยังคงเคลื่อนไหวอย่างเข้มแข็ง รวมทั้งสร้างสรรค์แนวทางใหม่ ๆ ที่จะข้ามพ้นการเป็นเพียงผู้ร้องขอเศษเดนจากระบบทุนนิยม โดยเฉพาะในละตินอเมริกา ในอาร์เจนตินา มีสถานประกอบการหลายแห่งที่แรงงานเข้ากอบกู้ ด้วยการผลิต บริหารและขายเอง โดยไม่ต้องมีชนชั้นผู้จัดการ ทั้งยังประสบความสำเร็จอย่างดีด้วย
ในอีกหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะในเวเนซุเอลา เรามักได้เห็นขบวนพาเหรดของชนชั้นแรงงานในวันกรรมกรสากลถือป้ายผ้าที่มีข้อความว่า "หากปราศจากการร่วมบริหารงาน ก็ไม่มีการปฏิวัติ" หรือ "การร่วมบริหารงานคือการปฏิวัติ"
การร่วมบริหารงาน หรือในภาษาสเปนเรียกว่า autogestion หมายถึงการที่แรงงานมีสิทธิ์ตัดสินใจในการบริหารสถานประกอบการ มิใช่ปล่อยให้เจ้าของทุนหรือชนชั้นผู้จัดการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียว หากแรงงานสามารถเข้ามาร่วมบริหารงานในสถานประกอบการได้ เป้าหมายของการผลิตก็จะเปลี่ยนไปจากการผลิตเพื่อทำกำไรสูงสุด มาเป็นเป้าหมายของการผลิตเพื่อรับใช้ชุมชนและสังคม เป้าหมายที่กำกับการผลิตควรกำหนดขึ้นมาด้วยกระบวนการประชาธิปไตย ทั้งในชุมชนและสถานประกอบการ เพื่อให้การผลิตนั้นตอบสนองความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง เป้าหมายนี้จะบรรลุได้ก็ด้วยการเปิดโอกาสให้ชนชั้นแรงงานมีสิทธิ์ในการร่วมบริหารงานเท่านั้น
ด้วยสมองและสองมือ ชนชั้นแรงงานไม่จำเป็นต้องพิชิตโลก แค่สร้างโลกใบใหม่ที่มีเป้าหมายให้มนุษย์ทุกคนมีโอกาสพัฒนาเป็นมนุษย์เต็มคน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว